ตรรกศาสตร์ (Logic)
เป็นวิชาพื้นฐานที่สำคัญในการศึกษาวิชาต่างๆ เช่น สังคมศาสตร์ปรัชญา
คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปัจจุบันได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ในด้านคอมพิวเตอร์
เพราะตรรกศาสตร์เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับกฏเกณฑ์และวิธีการให้เหตุผล
นักปราชญ์ซึ่งเป็นบิดาของวิชาตรรกศาสตร์ คือ อาริสโตเติล (Aristotle, 384 -
322 ก่อนคริสตศักราช)
โดยอาริสโตเติล เชื่อว่ามนุษณ์เท่านั้นที่สามารถคิดเกี่ยวกับเหตุผลได้
ท่านได้เขียนเขียนตำราชื่อ Organum ซึ่งเกี่ยวกับการให้เหตุผลที่ถูกต้อง
หลักการของหนังสือเล่มนี้กลายมาเป็นหลักการของตรรกศาสตร์ในปัจจุบัน
ซึ่งวิชานี้จะเป็นวิชาที่ช่วยให้เข้าใจคณิตศาสตร์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
จะอธิบายตามลำดับหัวข้อ ดังนี้
5.1 ประพจน์
ประพจน์ หมายถึง
ประโยคหรือข้อความที่ใช้สำหรับบอกค่าความเป็นจริงหรือเท็จเพียงอย่างใดอย่าง หนึ่ง
ส่วน ประโยคหรือข้อความที่ไม่สามารถบอกค่าความจริงหรือเป็นเท็จได้จะไม่เรียกว่าประพจน์
ตัวอย่างของประโยคหรือข้อความที่เป็นประพจน์เช่น
ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก สุนัขมี 4 ขา
ประเทศไทยมีชายแดนติดกับประเทศอินเดีย เดือนมกราคมมี 30 วัน
ตัวอย่างของประโยคหรือข้อความที่ไม่เป็นประพจน์เช่น
ห้ามเดินลัดสนาม กรุณาปิดไฟก่อนออกจากห้อง เธอกำลังจะไปไหน
เขาเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย Y + 5 = 8
5.2 การเชื่อมประพจน์ด้วยตัวเชื่อมต่างๆ
ตัวเชื่อมประพจน์ และค่าความจริงของประพจน์ที่มีตัวเชื่อม
|
5.5 การสมมูลกันของประพจน์
เดือนบอกว่า “ฉันไม่ได้ ทำและฉันพูดความจริง” นภบอกวา่ “ไม่จริงที่เดือนจะเป็นคนทำหรือพูดโกหก”
กำหนดให้
p แทน เดือนเป็นคนผิด q แทน เดือนพูดความจริง
ข้อความแรกแปลงประพจน์ประกอบได้เป็น ¬p ∧
q ข้อความที่สองได้¬
( p ∨
¬q) การตรวจสอบความสมมูลกันของสองประโยค
คือการตรวจสอบความเป็นสัจนิรันดร์ของนิพจน์
ตรรกศาสตร์( )( ) ¬p ∧ q ↔ ¬ p ∨ ¬q p q (¬p ∧
q) ( ) p ∨ ¬q ¬( p ∨ ¬q) (¬p ∧ q)( ) ↔ ¬ p ∨
¬q ข้อความสองข้อความมีความหมายเหมือนกันทางตรรกศาสตร์
เรากล่าวว่า ประพจน์ประกอบท้้งสองสมมูลกันเชิงตรรกศาสตร์(Logical
Equivalence)
บทนิยาม ประพจน์ p และ q จะถูกเรียกว่า “สมมูลกันเชิงตรรกศาสตร์
(Logical Equivalence)” ถ้า p ↔ q เป็นสัจนิรันดร์สัญลักษณ์ที่ใช้แทน “ p สมมูลเชิง
ตรรกศาสตร์กับ q ” คือ “ p ≡ q ”
ตัวอย่างที่ 1.1 จงตรวจสอบว่าข้อความต่อไปนี้สมมูลกันเชิงตรรกศาสตร์หรือไม่
ก. ถ้าสินค้ายังไม่ถึงมือลูกค้าลูกค้าก็ยังไม่ต้องจ่ายเงิน ข.
ถ้าลูกคาจ่ายเงินแล้วแสดงว่าสินค้านั้นถึงมือลูกค้าเป็นที่เรียบร้อย ถ้าให้ p
แทน
สินค้าถึงมือลูกค้า q แทน ลูกค้าจ่ายเงินแล้ว นิพจน์ตรรกศาสตร์แทนข้อความ ก. เป็น ¬p
→ ¬q นิพจน์ตรรกศาสตร์แทนข้อความ ข. เป็น q → p ตรวจสอบว่า ¬p
→ ¬q ≡ q → p หรือไม่
5.5.2 กฎการสมมูลเชิงตรรกศาสตร์
1. ¬¬p ≡ p Double negation
2. ( )( ) p ∨ q ≡ q ∨ p b. ( )( )
p ∧
q ≡ q ∧
p c. ( )( ) p ↔ q ≡ q ↔ p Commutative Laws
3. [ ] ( ) p ∨ q ∨ r ≡ [p ∨ ( ) q ∨
r ] b. [ ] ( ) p ∧ q ∧ r ≡ [p ∧ ( ) q ∧
r ] Associative Laws
4. [ ] p ∨ ( ) q ∧ r ≡ [( p ∨
q)( ) ∧
p ∨
r ] b. [ ] p ∧ ( ) q ∨ r ≡ [( p ∧ q)( ) ∨
p ∧
r ] Distributive Laws
5. ( ) p ∨ p ≡ p b. ( ) p ∧
p ≡ p Idempotent Laws
6. ( ) p ∨ F ≡ p b. ( ) p ∨
T ≡ T c. ( ) p ∧ F ≡ F d. ( ) p ∧ T ≡ p Identity Laws
7. ( ) p ∨ ¬p ≡ T b. ( ) p ∧
¬p ≡ F
8. ¬( )( ) p ∨ q ≡ ¬p ∧ ¬q b. ¬( )(
) p ∧
q ≡ ¬p ∨
¬q c. ( )( ) p ∨ q ≡ ¬ ¬p ∧ ¬q d. ( )( ) p ∧
q ≡ ¬ ¬p ∨ ¬q DeMorgan Laws
9. ( )( ) p → q ≡ ¬q → ¬p Contrapositive
10. ( )( ) p → q ≡ ¬p ∨ q b. ( ) p → q ≡ ¬( p ∧
¬q) Implication
11. ( )( ) p ∨ q ≡ ¬p → q b. ( )( ) p ∧
q ≡ ¬ p → ¬q
12. [ ] ( )( ) p → r ∧ q → r ≡ [ ] ( ) p ∨
q → r b. [ ] ( )( ) p → q ∧ p → r ≡ [ ] p → (q ∧
r)
13. ( ) ( )( ) p ↔ q ≡ [ ] p → q ∧ q → p
Equivalence
14. [ ] ( ) p ∧ q → r ≡ [p → ( ) q → r ]
Exportation Law
15. ( )( ) p → q ≡ [ ] p ∧ ¬q → F Reductio ad absurdum
การพิสูจน์ความสมมูลกันเชิงตรรกศาสตร์ของสองประพจน์ประกอบโดยใช้กฎการสมมูลเรียกว่าพีชคณิตประพจน์
(Propositional Algebra)
ตัวอย่างที่ 1.2 จงแสดงว่า ¬( ) p ∨ ( ) ¬p ∧
q สมมูลเชิงตรรกศาสตร์กับ
¬p ∧ ¬q ทาํ ¬( ) p ∨ (¬p ∧ q) ≡ ¬p ∧
¬(¬p ∧
q) DeMorgan Law 8a ≡ ¬p ∧ (¬¬p ∨ ¬q) DeMorgan
Law 8b ≡ ¬p ∧ ( p ∨ ¬q) Double negation 1 ≡ ( ) ¬p ∧
p ∨
(¬p ∧
¬q) Distributive Law 4b ≡ F ∨ (¬p ∧ ¬q) 7b ≡ ¬p ∧
¬q Identity Law 6a
บทนิยาม ประพจน์ p และ q จะถูกเรียกว่า “การแจงเหตุสู่ผลเชิงตรรกศาสตร์
(Logical Implication)” ถ้า p → q เป็นสัจนิรันดร์สัญลักษณ์ที่ใช้แทน “ p แจงเหตุสู่ ผล
q ” คือ “ p ⇒ q ” p ⇒ q มีความหมายว่าสำหรับประพจน์
p และ q ค่าความจริงเป็น “จริง” และ “เท็จ ” จะไม่เกิดขี้นพร้อมกัน กล่าวคือเมื่อประพจน์ p
“จริง”
ประพจน์
q ก็จะเป็น “จริง” ด้วย และเมื่อ ประพจน์ q เป็น “เท็จ” ประพจน์ p ก็จะเป็น “เท็จ” ด้วย
การตรวจสอบการแจงเหตุสู่ผล p ⇒ q เราสามารถแจงเหตุ p สู่ผล q
ได้หรืออีกวิธีหนึ่งในการพิจารณาค่าความจริงของการแจงเหตุสู่ผล
คือให้มองข้ามแถวที่ p เป็น “เท็จ” และเช่นเดียวกันก็มองข้าม แถวที่ q เป็น “จริง” แถวที่p
จริง
q เท็จ การแจงเหตุสู่ผล p ⇒ q เป็น “เท็จ” การแจงเหตุสู่ผล p ⇒
q เป็น
“จริง”
ตัวอย่างที่ 1.3 จงตรวจสอบค่าความจริงของการแจงเหตุสู่ผล ¬p
⇒
( p → q) จะพิจารณาตารางค่าความจริงเฉพาะที่แถวที่ ¬p เป็น “จริง” นั่นคือ p
q ¬p p → q ¬p → (p → q) F T T T T F F T T T เพื่อความรวดเร็วขึ้นโดยมองหาแถวที่ p → q
หรือผลสรุปที่มีค่าความจริงเป็น
“เท็จ ” p q ¬p p → q ¬p → (p → q) T F F F T
ตัวอย่างที่ 1.4 จงตรวจสอบกฎการแจงเหตุสู่ผลเชิงตรรกศาสตร์ข้อ 26a
[ ] ( )( ) p → q ∧ r → s ⇒ [(p ∨ r) → (q ∨
s)] ถ้าต้องดูทั้งหมดจะตองใช
้ จำนวนแถวถึงแถว เพื่อความรวดเร็วจะพิจารณาเพียงแถวที่ทำใหํ 26้ a มีค่าความจริงเป็น
“เท็จ ” นั่นคือกรณีที่ [ ] ( )( ) p ∨ r → q ∨ s เป็น “เท็จ ”
แต่
[(p → q)∧ (r → s)] เป็น “จริง” ?? เมื่อใดที่ [ ] ( )( ) p ∨
r → q ∨
s เป็น
“เท็จ ” เมื่อ q ∨ s เป็น “เท็จ ” นั่นคือทั้ง q และ s มีค่าความจริงเป็นเท็จ
p q r s [ ] ( ) p → q ∧ (r → s) → [(p ∨
r)( ) → q ∨ s ]